ENGINEERING PLASTIC (พลาสติกวิศวกรรม )
สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท
1.เทอร์โมพลาสติก (thermoplastics; thermo แปลว่า ความร้อน และ plastic แปลว่า อ่อนนุ่ม) พลาสติกชนิดนี้ เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่ออุณหภูมิลดลงจะแข็งตัว ถ้าให้ความร้อนอีกก็จะอ่อนตัว สามารถทำให้กลับเป็นรูปเดิมหรือเปลี่ยนเป็นรูปอื่นได้ โดยสมบัติของพลาสติกเหมือนเดิม พลาสติกประเภทนี้ โครงสร้างโมเลกุล เป็นโซ่ตรงยาว มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่พอลิเมอร์น้อยมาก จึงสามารถหลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัดแรงมากๆ โดยจะไม่ทำลายโครงสร้างเดิม ตัวอย่างของเทอร์มอพลาสติก คือ พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีน (เป็นการเปลี่ยนสภาวะทางกายภาพเท่านั้น เปรียบเหมือนการเปลี่ยนสถานะของน้ำและน้ำแข็ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนไป-กลับได้หลายครั้ง )
2.พลาสติกเทอร์โมเซต (thermosettingplastics หรือ thermoset; thermo แปลว่า ความร้อน และ set แปลว่า ทำให้แข็ง) พลาสติกชนิดนี้ จะคงรูปภายหลังจากการผ่านความร้อน หรือแรงดัน เพียงครั้งเดียว เมื่อเย็นลงจะแข็งตัว มีความแข็งแรงมาก ทนความร้อนและความดัน ไม่อ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างไม่ได้ แต่ถ้าอุณหภูมิสูงพอ ก็จะแตกและไหม้เป็นขี้เถ้าสีดำ พลาสติกประเภทนี้ โมเลกุลจะเชื่อมโยงกันเป็นร่างแหจับกันแน่น แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแข็งแรงมาก จึงไม่สามารถนำมาหลอมเหลวได้
หมายเหตุ พลาสติกส่วนใหญ่จัดเป็นเทอร์โมพลาสติกซึ่งเมื่อได้รับความร้อนประมาณ 200 องศาเซลเซียส สายโมเลกุลของพลาสติก จะคงสภาพอยู่ได้ แต่จะแยกตัวห่างพอ ที่จะเลื่อนซ้อนกันได้อีก ดังนั้น เราจึงนำพลาสติกชนิดนี้ มาหลอมและหล่อใหม่ได้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก (สามารถนำมารีไซเคิลได้เป็นอย่างดีทีเดียว) เมื่อพลาสติกเย็นลง ก็จะมีรูปใหม่ที่แข็งแกร่งเหมือนเดิม ส่วน เทอร์โมเซ็ตเมื่อถูกความร้อนครั้งหนึ่งแล้วก็หมดคุณสมบัติในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างนั้นจะไม่สามารถนำมาหล่อใหม่ได้อีก เช่น PU (polyurethane)
คุณสมบัติของพลาสติก
พลาสติกนับว่าเป็นวัสดุที่มีบทบาทและสำคัญมากในยุคปัจจุบันนี้ และเป็นคู่แข่งของเหล็ก ซึ่งนับวันได้ถูกใช้อย่างมากมายจนเหลือน้อยทำให้พลาสติกได้ถูกนำมาใช้แทนอย่างมาก เพราะพลาสติกมีคุณสมบัติพิเศษดีเด่นกว่าวัสดุอื่นที่ใช้กันมาก่อนอย่างมากมาย เพราะสามารถใช้แทนวัสดุอื่นได้เกือบทั้งหมด เช่น
แข็งแรง
ทนการสึกกร่อน
ทึบแสง และเบา
อ่อนนุ่ม
ทนสารเคมี
ลอยน้ำได้
ยืดตัว
เป็นฉนวนไฟฟ้า
หล่อลื่นในตัว
เหนี่ยวทนทาน
กันน้ำ
ทำเป็นสีต่าง ๆ ได้
โปร่งใส
ไม่ไฟติดง่าย
ทนความร้อน
พลาสติกมีคุณสมบัติทางโครงสร้างพิเศษที่เรียกว่า High Molecular Weight คือในหนึ่งโมเลกุลมีจำนวนอะตอมมากกว่าสารชนิดอื่นมากมาย จึงทำให้มีคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างพร้อมกันไป คือ
คุณสมบัติทางกายภาพ มีความแข็งแรง เหนียว ยืดหยุ่น ฯลฯ
คุณสมบัติทางไฟฟ้า เป็นฉนวนไฟฟ้า
คุณสมบัติทางเคมี ทนกรด ด่าง และสารเคมีอื่น ๆ ข้อเปรียบเทียบคุณสมบัติพลาสติกเมื่อเทียบกับเหล็ก
ข้อดี
1.น้ำหนักเบา สามารถขนย้ายได้ง่าย
2.ทนต่อกรด – ด่างได้ดี ทำให้ไม่เกิดสนิม
3.กรรมวิธีผลิตชิ้นงานทำได้ง่ายและครั้งละหลาย ๆ ชิ้น
4.เป็นฉนวน กับกระแสไฟฟ้าได้ดี
5.สามารถ เชื่อม กลึง ใส เจาะ ประกอบได้ง่าย
6.ราคามีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ เพราะกรรมวิธีการผลิตทันสมัย และปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น
7.ผสมสีเข้ากันได้ดี ชิ้นงานจึงสามารถจะย้อมสีอะไรก็จะทำได้ง่ายและคงทน
ข้อเสีย
1.ความมั่นคงแข็งแรงน้อยกว่าเหล็ก
2.ทนความร้อนได้น้อย ทำให้อ่อนตัวได้ง่าย
3.ระยะเวลาการใช้งานสั้นกว่า
4.เมื่อชำรุดแล้วซ่อมแซมได้ยาก
5.เปอร์เซนต์การหดตัวมากกว่าเหล็กมาก